10.01.21 Avyakt Bapdada Thai Murli
09.10.87 Om Shanti Madhuban
ข่าวของท้องพระโรงทางจิต
วันนี้ บัพดาดากำลังมองดูท้องพระโรงของลูกๆ
ของท่านที่มีสิทธิ์ในอำนาจในการปกครองตนเอง จากทั้งวงจร
ท้องพระโรงทางจิตของยุคบรรจบพบกันนี้พิเศษสุด, มีความภาคภูมิใจที่สูงส่ง,
มีความโดดเด่นอย่างแท้จริงและน่ารักที่สุดในบรรดาทั้งหมด ประกายทางจิต,
ที่นั่งดอกบัวทางจิต, มงกุฎและทีลัคทางจิตวิญญาณ
ประกายของใบหน้าและกลิ่นหอมทางจิตของบรรยากาศของสำนึกที่เพิ่มขึ้นของสภาพท้องพระโรงนี้เป็นที่น่ายินดีและเป็นสภาพที่น่าดึงดูดอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นชุมนุมเช่นนั้นและทุกดวงวิญญาณที่มีอำนาจในการปกครองตนเอง
บัพดาดามีความพอใจเป็นอย่างยิ่ง เป็นท้องพระโรงที่ใหญ่โต
ลูกบราห์มินทุกคนมีอำนาจในการปกครองตนเอง, เป็นนายของตนเอง ดังนั้นมีลูกๆ
บราห์มินมากมาย
ถ้าลูกจัดท้องพระโรงของบราห์มินทั้งหมดด้วยกันก็จะเป็นท้องพระโรงที่ใหญ่โตเช่นนั้น
ท้องพระโรงที่ใหญ่โตเช่นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในยุคอื่น
คุณสมบัติพิเศษของยุคบรรจบพบกันคือ ลูกๆ ทั้งหมดของพ่อสูงสุดกลายเป็นนายของตนเอง
ในครอบครัวทางโลก, พ่อทุกคนพูดกับลูกๆ ของเขาว่า: ลูกของฉันคนนี้เป็น “ลูกที่เป็นราชา”ของฉัน
หรือความปรารถนาของเขาคือปรารถนาให้ลูกๆ ทุกคนของเขาได้เป็นราชา อย่างไรก็ตาม
ไม่ใช่ลูกทุกคนที่สามารถเป็นราชาได้ พวกเขาเลียนแบบพ่อสูงสุดในการพูดคำเช่นนี้
ในเวลานี้ ลูกๆ ทั้งหมดของบัพดาดาเป็นราชาโยคีอย่างแน่นอน นั่นคือเป็นนายของตนเอง
พวกเขาเป็นราชาโยคีตามลำดับกันไป ไม่มีใครในพวกเขาเป็นประชาโยคี (โยคีที่กลายเป็นปวงประชา)
ดังนั้นบัพดาดากำลังมองดูชุมนุมที่สูงศักดิ์ที่ไม่มีขีดจำกัด
ลูกทั้งหมดคิดว่าตัวลูกเองเป็นนายของตนเองใช่หรือไม่?
ลูกใหม่ทั้งหมดที่มาเป็นนายของตนเองหรือลูกยังคงต้องเป็นเช่นนั้น?
ลูกยังใหม่และลูกกำลังเรียนรู้วิธีการพบปะและปรับตัวเข้าด้วยกัน
ลูกจะพัฒนานิสัยของความเข้าใจสิ่งที่ละเอียดอ่อนที่พ่อที่ละเอียดอ่อน(อะแวค)บอกลูก
อย่างไรก็ตามลูกจะชื่นชมโชคที่มีค่านี้ยิ่งขึ้นในภายหลังมากกว่าที่ลูกชื่นชมในตอนนี้:
พวกเราทุกคนโชคดีแค่ไหน?
บัพดาดากำลังบอกข่าวของท้องพระโรงทางจิตที่สูงศักดิ์ให้กับลูก
ความใส่ใจของบัพดาดาถูกดึงไปที่มงกุฎและประกายบนใบหน้าของลูกเป็นพิเศษแม้จะขัดกับความปรารถนาของท่านก็ตาม
มงกุฎเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และเป็นคุณสมบัติพิเศษของชีวิตบราห์มิน
ประกายบนใบหน้าคือประกายทางจิตวิญญาณและความมั่นคงในสภาพทางจิต
แม้ว่าลูกจะมองใครบางคนตามปกติ สายตาของลูกจะมองไปที่ใบหน้าก่อน
ใบหน้าของลูกเป็นกระจกของทัศนคติและสภาพของลูก
ดังนั้นบัพดาดาจึงเห็นว่าทุกคนมีประกาย
แต่หนึ่งนั้นคือผู้ที่มีความมั่นคงในสภาพทางจิตวิญญาณเสมอ
ผู้ที่มีสภาพนี้อย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดาย
และอีกหนึ่งคือผู้ที่มั่นคงในสภาพนี้ผ่านการฝึกฝนของสภาพที่เป็นจิตวิญญาณ
ในด้านหนึ่งมีผู้ที่อยู่ในสภาพนี้ได้อย่างง่ายดาย
และอีกด้านหนึ่งคือผู้ที่ต้องเพียรพยายามที่จะอยู่อย่างมั่นคงในสภาพนี้
นั่นคือโยคีประเภทหนึ่งเป็นโยคีที่ง่ายดาย
และอีกประเภทหนึ่งเป็นโยคีที่ต้องใช้ความพยายาม มีความแตกต่างในทั้งสอง
หนึ่งมีความงามตามธรรมชาติและอีกหนึ่งมีความงามจากความเพียรพยายาม
เช่นเดียวกับที่ผู้คนสมัยนี้ดูสวยงามเพราะการแต่งหน้า
ประกายของความงามตามธรรมชาติจึงสม่ำเสมอตลอดเวลา
ในขณะที่ประกายความงามอื่นบางครั้งก็ดีมาก
และบางครั้งก็มีแค่เปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนเท่านั้นซึ่งมันไม่ได้เป็นแบบเดียวกัน
ไม่เสมอกัน มันไม่มั่นคงเสมอไป
ดังนั้นสภาพของการเป็นโยคีที่ง่ายดายและเป็นธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอสามารถทำให้ลูกกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจในการปกครองตนเองอันดับหนึ่งได้
เนื่องจากลูกๆ ทั้งหมดได้สัญญาว่าจะดำเนินชีวิตเป็นบราห์มิน
นั่นคือพ่อผู้เดียวคือโลกของลูก และลูกจะเป็นของพ่อผู้เดียวและไม่มีใครอื่น,
เมื่อพ่อเป็นโลกของลูกและไม่มีใครอื่น
ลูกจะมีสภาพที่เป็นโยคีที่สม่ำเสมออย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดายใช่หรือไม่?
หรือลูกยังต้องใช้ความเพียรพยายาม?
หากมีใครอื่นลูกต้องเพียรพยายามที่จะหยุดสติปัญญาของลูกไม่ให้ไปที่นั่น
และดูว่ามันมาที่นี่ อย่างไรก็ตามเมื่อพ่อผู้เดียวเป็นทุกสิ่งแล้วสติปัญญาจะไปไหน?
เมื่อสติปัญญาไม่สามารถไปที่ไหนได้แล้วจะมีการฝึกฝนอะไร?
มีความแตกต่างในทางปฏิบัติเช่นกัน หนึ่งคือการฝึกฝนที่เป็นธรรมชาติ
มันจะอยู่ในสภาพนั้นเสมอ และอีกหนึ่งคือการฝึกฝนโดยความเพียรพยายาม
เมื่อลูกที่มีอำนาจในการปกครองตนเองเป็นผู้ที่มีการฝึกฝนสิ่งนี้อย่างง่ายดายนี่ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นโยคีที่ง่ายดายและเป็นธรรมชาติ
ประกายบนใบหน้าของพวกเขาคือจิตวิญญาณ ดังนั้นทันทีที่ผู้อื่นเห็นใบหน้าของพวกเขา
พวกเขาจะสัมผัสได้ว่าดวงวิญญาณนั้นเป็นดวงวิญญาณที่เป็นตัวของการได้มาซึ่งการบรรลุผลที่สูงส่งและโยคีที่ง่ายดาย
เมื่อใครบางคนมีความมั่งคั่งทางโลกหรือได้รับตำแหน่งทางโลก
ลูกสามารถบอกได้จากประกายบนใบหน้าของเขาว่าเขามาจากครอบครัวที่ร่ำรวยหรือมีสถานะที่สูง
ในทำนองเดียวกันความซาบซึ้งและประกายของการได้มาซึ่งการบรรลุผลที่สูงส่งนี้,
สิทธิ์ที่สูงส่งของอาณาจักรนี้
นั่นคือการบรรลุของสภาพที่สูงส่งจะปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของพวกเขา
ให้ใบหน้าที่ประกายบนของลูกที่มีอำนาจในการปกครองตนเองทั้งหมดปรากฏให้เห็นเสมอเช่นนี้
อย่าให้สัญญาณบ่งบอกของความพยายามปรากฏให้เห็น
ให้สัญญาณบ่งบอกของการได้มาซึ่งการบรรลุผลปรากฏให้เห็น
แม้กระทั่งตอนนี้เมื่อลูกเห็นใบหน้าของเด็กบางคน ลูกพูดว่า:
เด็กคนนี้บรรลุบางสิ่งแล้ว ในขณะที่เด็กคนอื่นๆเมื่อลูกเห็นใบหน้าของพวกเขา
ลูกพูดว่า: นี่คือจุดหมายปลายทางที่สูงและพวกเขามีการสละละทิ้งที่สูงมาก
จากใบหน้าของพวกเขา การสละละทิ้งของพวกเขาจะมองเห็นได้
แต่โชคของพวกเขาจะไม่สามารถมองเห็น หรือกล่าวได้ว่าคนนี้เพียรพยายามดีมาก
บัพดาดาต้องการให้เห็นประกายของโยคีที่ง่ายดายบนใบหน้าของลูกแต่ละคน
ให้ประกายของความซาบซึ้งของการได้มาซึ่งการบรรลุผลที่สูงส่งปรากฏให้เห็นเพราะลูกคือลูกของพ่อผู้เป็นคลังสมบัติของการได้มาซึ่งการบรรลุผล
ในช่วงเวลาที่ได้รับพรของยุคบรรจบพบกัน
ลูกมีสิทธิ์ที่จะประกาศสิทธิ์ในการได้มาซึ่งการบรรลุผลทั้งหมด
เราสามารถมีโยคะอย่างสม่ำเสมอได้อย่างไร?
เราจะมีประสบการณ์ที่สม่ำเสมอและประสบการณ์ของสมบัติที่มีค่าได้อย่างไร?
อย่าได้สูญเสียเวลาของลูกในการเพียรพยายามสำหรับสิ่งนี้ในตอนนี้
แต่สามารถสัมผัสโชคของการเป็นตัวของการได้มาซึ่งการบรรลุผลได้อย่างง่ายดาย?
เวลาของความสมบูรณ์พร้อมใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าแม้กระทั่งตอนนี้
ลูกกำลังยุ่งอยู่กับการพยายามเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเวลาของการได้มาซึ่งการบรรลุผลจะจบสิ้นลง
ดังนั้นแล้วเมื่อใดที่ลูกจะได้สัมผัสกับการเป็นตัวของการได้มาซึ่งการบรรลุผล?
ยุคบรรจบพบกันและดวงวิญญาณบราห์มินได้รับพร “ขอให้ลูกเต็มเปี่ยมไปการได้มาซึ่งการบรรลุผล”
ลูกไม่ได้มีพร“ขอให้ลูกเป็นผู้เพียรพยายามเสมอ”
แต่ลูกมีพรของการได้มาซึ่งการบรรลุผล ดวงวิญญาณที่ได้รับพร
ที่ได้รับพรของการได้มาซึ่งการบรรลุผลจะไม่ตกอยู่ในความประมาท
ดังนั้นพวกเขาไม่ต้องใช้ความเพียรพยายาม
ดังนั้นลูกเข้าใจไหมว่าลูกต้องกลับมาเป็นอะไร?
ในท้องพระโรง
เวลานี้เป็นสิ่งที่ชัดเจนแล้วว่าคุณสมบัติพิเศษของการมีสิทธิ์ในอาณาจักรคืออะไรใช่หรือไม่?
ลูกมีสิทธิ์ในอาณาจักรใช่หรือไม่? หรือลูกยังคงคิดว่าลูกมีสิทธิ์นี้หรือไม่?
ลูกได้กลายเป็นลูกของผู้ประทานโชคและผู้ประทานพร ราชาหมายถึงผู้ประทานโชค, ผู้ให้
หากลูกไม่ขาดสิ่งใดแล้วลูกจะยังต้องการรับอะไรอีก? ดังนั้นลูกเข้าใจหรือไม่?
ลูกคนใหม่ต้องอยู่ในประสบการณ์นี้ อย่าได้สูญเสียเวลาของลูกในการต่อสู้
ถ้าลูกสูญเสียเวลาของลูกไปกับการต่อสู้ ลูกจะต่อสู้ในเวลาสุดท้ายของลูกเช่นกัน
แล้วจากนั้นลูกจะเป็นอะไร?
ลูกจะเป็นส่วนหนึ่งของจันทราวงศ์หรือลูกจะเข้าไปอยู่ในสุริยวงศ์?
ผู้ที่ต่อสู้จะเข้าไปในจันทราวงศ์ “ฉันกำลังเคลื่อนไป, ฉันกำลังทำสิ่งนี้,
มันจะเกิดขึ้น, ฉันจะไปถึงที่นั่น” อย่าได้มีเป้าหมายประเภทนี้ในเวลานี้
ถ้าไม่ใช่เวลานี้จะไม่มีอีกแล้ว หากลูกกำลังจะกลายเป็นบางสิ่ง, ต้องเป็นในตอนนี้
หากลูกจะบรรลุบางสิ่งจะต้องเป็นในเวลานี้
ผู้ที่มีความจริงจังและกระตือรือร้นเท่านั้นที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์พร้อมของพวกเขาได้ตรงเวลา
ไม่มีใครพร้อมที่จะเป็นรามและสีดาในยุคเงิน
เมื่อลูกต้องการเข้าไปสู่สุริยวงศ์ของยุคทอง
ดังนั้นสุริยวงศ์หมายถึงการเป็นนายผู้ประทานโชคและผู้ประทานพรอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ใช่ผู้ที่มีความปรารถนาที่จะรับ “ฉันควรได้รับความช่วยเหลือ
มันจะดีมากถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น แล้วฉันจะได้รับอันดับที่ดีในความพยายามของฉัน”
ไม่ใช่เลย ลูกกำลังได้รับความช่วยเหลือ ทุกสิ่งกำลังเกิดขึ้น
สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นลูกที่มีอำนาจในการปกครองตนเอง, เป็นนายของตนเอง
ลูกต้องการก้าวไปข้างหน้าหรือไม่? หรือว่าเป็นเพราะลูกมาทีหลัง
ลูกจึงอยากอยู่ข้างหลัง?
วิธีที่ง่ายดายในการก้าวไปข้างหน้าคือการกลายเป็นโยคีที่ง่ายดายและเป็นธรรมชาติ
มันง่ายดายมาก เมื่อมีพ่อผู้เดียวเมื่อไม่มีใครอื่นแล้วลูกจะไปที่ไหน?
เมื่อมีการบรรลุผลเหนือการบรรลุผลเหตุใดจึงต้องใช้ความเพียรพยายาม?
ดังนั้นจงใช้ประโยชน์ของเวลาของการได้มาซึ่งการบรรลุผล
จงกลายเป็นตัวของการได้มาซึ่งการบรรลุผลทั้งหมด ลูกเข้าใจหรือไม่?
บัพดาดาต้องการให้ลูกแต่ละคน แม้กระทั่งคนสุดท้าย
ตลอดจนผู้ที่มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ลูกทุกคนให้เป็นอันดับหนึ่ง กลายเป็นราชา
ไม่ใช่ปวงประชา อัจชะ
กลุ่มที่มาจากมหาราชตระและมัธยประเทศได้มาแล้ว ดูซิว่าคำว่า “มหา” (ยิ่งใหญ่)
ช่างดีเหลือเกิน สถานที่ที่มหาราชตระมีคำว่า “มหา” อยู่ด้วย
และดังนั้นลูกต้องกลับมายิ่งใหญ่ด้วย ลูกได้กลับมายิ่งใหญ่แล้วใช่ไหม?
เพราะการเป็นของพ่อหมายถึงการกลับมายิ่งใหญ่ ลูกเป็นดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่
บราห์มินหมายถึงยิ่งใหญ่ ทุกการกระทำของลูกยิ่งใหญ่, ทุกคำพูดยิ่งใหญ่
และทุกความคิดยิ่งใหญ่ พวกเขากลายเป็นทางจิตวิญญาณใช่หรือไม่?
ดังนั้นลูกที่มาจากมหาราชตระเป็นตัวของสำนึกรู้ว่าลูกยิ่งใหญ่เสมอ
บราห์มินหมายถึงจุกที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่?
มัธยประเทศคือผู้ที่รักษาความซาบซึ้งในมาเดียจีบาฟเสมอ (ผู้อยู่ตรงกลาง, วิษณุ)
พร้อมกับ “มานมานะบาฟ” ลูกยังได้รับพรของ “มาเดียจีบาฟ”เช่นกัน
ดังนั้นรูปที่เป็นสวรรค์ของลูกจึงเรียกว่า “มาเดียจีบาฟ”
ลูกคือผู้ที่คงความซาบซึ้งของการได้มาซึ่งการบรรลุผล ที่สูงส่งของลูก
นั่นคือลูกเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในรูปของมนตรา “มาเดียจีบาฟ” ลูกก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน
ถ้าลูกเป็น “มาเดียจีบาฟ” แล้วลูกก็จะเป็น “มานมานะบาฟ”อย่างแน่นอนเช่นกัน
ดังนั้นมัธยประเทศจึงหมายถึงผู้ที่กลายเป็นตัวของมนตราที่ยิ่งใหญ่
ดังนั้นลูกทั้งสองจึงยิ่งใหญ่ด้วยคุณสมบัติพิเศษของตัวลูกเอง
ลูกเข้าใจหรือไม่ว่าลูกคือใคร? ตั้งแต่เวลาที่ลูกเริ่มบทเรียนแรก ลูกเพียงแค่ทำให้
“ฉันคือใคร?”มั่นคง พ่อเตือนลูกในสิ่งเดียวกันเช่นกัน ไตร่ตรองสิ่งนี้
มีเพียงสำนวนเดียว “ฉันคือใคร?” แต่มีคำตอบมากมาย จงทำรายการ”ฉันคือใคร?” อัจชะ
ถึงดวงวิญญาณที่สูงส่งทั้งหมดจากทุกหนแห่งที่เป็นตัวของการได้มาซึ่งการบรรลุผลทั้งหมด,
ถึงดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดที่มีสิทธิ์ในท้องพระโรงทางจิต
ถึงดวงวิญญาณพิเศษผู้ที่ได้นำประกายทางจิตวิญญาณมาใช้อย่างสม่ำเสมอ,
ถึงโยคีที่เป็นธรรมชาติสม่ำเสมอและ โยคีที่ง่ายดาย ถึงดวงวิญญาณที่สูงส่งที่สุด
โปรดยอมรับความรักที่เต็มไปด้วยการจดจำระลึกถึงจากบัพดาดา ผู้ที่สูงสุดเหนือสิ่งใด
อะแวค บัพดาดา พบดับเบิ้ลฟอเรนเนอร์บราเธอร์และซิสเตอร์
“ดับเบิ้ลฟอเรนเนอร์” หมายถึงผู้ที่มีสำนึกรู้ถึงรูปดั้งเดิมของตนเอง
ดินแดนดั้งเดิมของตนเอง อำนาจในการปกครองตนเองและอาณาจักรดั้งเดิมของตนเองอยู่เสมอ
ดับเบิ้ลฟอเรนเนอร์ต้องทำงานรับใช้อะไรเป็นพิเศษ?
ตอนนี้ลูกต้องให้ดวงวิญญาณได้สัมผัสกับพลังแห่งความเงียบสงบเป็นพิเศษ
นี่เป็นงานรับใช้พิเศษเช่นกัน เช่นเดียวกับที่พลังของวิทยาศาสตร์เป็นที่รู้จักกันดี
ลูกแต่ละคนรู้ว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร
ในทำนองเดียวกันพลังแห่งความเงียบสงบยังสูงยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำ
วันนั้นก็จะมาถึงด้วยเช่นกัน การเปิดเผยพลังแห่งความเงียบหมายถึงการเปิดเผยพ่อ
เช่นเดียวกับที่วิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นข้อพิสูจน์ที่มองเห็นได้
ในทำนองเดียวกันชีวิตของลูกทุกคนก็เป็นเครื่องพิสูจน์พลังแห่งความเงียบในทางปฏิบัติ
เมื่อลูกทุกคนมองเห็นได้อย่างเป็นข้อพิสูจน์ในทางปฏิบัติแล้วแม้ว่าจะขัดกับความปรารถนาของพวกเขาลูกก็จะมองเห็นได้อย่างง่ายดาย
เช่นเดียวกับปีที่แล้วที่ลูกได้ดำเนินโครงการสันติภาพและได้แสดงให้เห็นจริงในทางปฏิบัติบนเวที
ในลักษณะเดียวกันให้เห็นแบบจำลองสันติภาพเคลื่อนที่
สายตาของนักวิทยาศาสตร์จะทอดมองมายังผู้ที่มีความเงียบสงบอย่างแน่นอน ลูกเข้าใจไหม?
มีสิ่งประดิษฐ์ของวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศมากขึ้น
ดังนั้นเสียงของพลังแห่งความเงียบก็จะแพร่กระจายออกไปจากที่นั่นได้อย่างง่ายดาย
ถึงอย่างไรเป้าหมายของการรับใช้ยังมีอยู่และลูกทุกคนก็มีความจริงจังและกระตือรือร้นเช่นกัน
ลูกไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่ทำงานรับใช้
เช่นเดียวกับที่คนไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากอาหาร
ในทำนองเดียวกันลูกไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่ได้ทำงานรับใช้
และด้วยเหตุนี้ที่เองบัพดาดาพอใจ อัจชะ
อะแวค บัพดาดาพบกลุ่ม:
ลูกสัมผัสว่าตนเองกลายเป็นดวงวิญญาณที่สูงส่งซึ่งเป็นผู้ควงกงจักรแห่งการตระหนักรู้ในตนเองหรือไม่?
ลูกมีสายตาของตนเองใช่หรือไม่? การรู้จักตัวเองหมายถึงการมีสายตาที่มองเห็นตนเอง
และมีความรู้เกี่ยวกับวงจรหมายถึงการเป็นผู้ควงกงจักรแห่งการตระหนักรู้ในตนเอง
เมื่อลูกกลายเป็นผู้ควงกงจักรแห่งการตระหนักรู้ในตนเอง การควงประเภทอื่น ๆ
ทั้งหมดจะจบสิ้น การควงของจิตสำนึกที่เป็นร่าง การควงของความสัมพันธ์
การควงของปัญหา ทั้งหมดนี้เป็นการควงของมายามากมายหลายประเภท!
อย่างไรก็ตามด้วยการเป็นผู้ควงกงจักรแห่งการตระหนักรู้ในตนเอง
การควงทุกประเภทเหล่านี้จะจบสิ้น ลูกจะออกมาจากการควงทุกประเภท
มิฉะนั้นลูกจะติดกับอยู่ในโยงใย
ก่อนหน้านี้ลูกติดอยู่ในกับดักและเวลานี้ลูกได้ออกมาแล้ว เป็นเวลา 63
ชาติเกิดลูกยังคงติดกับอยู่ในการควงมากมายหลายประเภท
และในเวลานี้ลูกได้ออกมาจากการควงหมุนนั้นแล้ว
และลูกจะต้องไม่ติดกับดักนั้นอีกครั้ง
ลูกเคยสัมผัสกับสิ่งนั้นและเห็นมันด้วยตัวลูกเองใช่หรือไม่?
ด้วยการติดอยู่ในการควงประเภทต่างๆทั้งหมดจึงทำให้ลูกสูญเสียทุกอย่าง
และด้วยการเป็นผู้ควงกงจักรแห่งการตระหนักรู้ในตนเอง ลูกได้พบพ่อลูกพบทุกสิ่ง
ดังนั้นจงเป็นผู้ควงกงจักรแห่งการตระหนักรู้ในตนเองเสมอ
เป็นผู้เอาชนะมายาและก้าวหน้าต่อไป
ด้วยการทำเช่นนี้จะทำให้ลูกอยู่อย่างเบาสบายและไม่ต้องประสบกับภาระประเภทใด ๆ
ภาระทำให้ลูกตกลงมา แต่ด้วยความเบาลูกจะเฝ้าแต่โบยบินต่อไปได้สูง
ลูกคือผู้ที่โบยบินใช่ไหม? ลูกไม่ได้อ่อนแอใช่ไหม?
หากปีกข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแอมันจะทำให้ลูกตกลงมาและไม่ยอมให้ลูกโบยบิน
ดังนั้นจงทำให้ปีกทั้งสองแข็งแรงและลูกจะโบยบินต่อไปได้โดยอัตโนมัติ
การเป็นผู้ควงกงจักรแห่งการตระหนักรู้ในตนเองหมายถึงการโบยบินไปเรื่อยๆในสภาพที่สูงขึ้น
อัจชะ
ลูกเป็นราชาโยคีดวงวิญญาณที่สูงส่งใช่ไหม?
จากการมีชีวิตที่ธรรมดาลูกกลายเป็นโยคีที่ง่ายดายและราชาโยคี
ดวงวิญญาณโยคีที่สูงส่งเช่นนี้จะแกว่งไกวอยู่ในชิงช้าของความสุขที่เหนือประสาทสัมผัสอยู่เสมอ
หฐะโยคีทำให้ร่างกายของเขาลอยได้ด้วยหฐะโยคะและฝึกฝนที่จะบิน
ในความเป็นจริงลูกราชาโยคีมีประสบการณ์กับสภาพที่สูง
โดยการลอกเลียนสิ่งนี้พวกเขาทำให้ร่างกายของพวกเขาลอย
อย่างไรก็ตามไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหนลูกจะอยู่ในสภาพสูง
และดังนั้นจึงมีการกล่าวกันว่าโยคีอยู่อย่างสูงขึ้นไป
สถานที่ของสภาพของจิตใจสูงเพราะลูกกลายเป็นแสงที่เบาสบายเป็นสองเท่า
ไม่ว่าในกรณีใดสำหรับเทวดานางฟ้ามีการกล่าวกันว่าเท้าของพวกเขาไม่เคยอยู่บนพื้นดิน
เทวดานางฟ้าหมายถึงผู้ที่เท้าของสติปัญญาไม่ได้อยู่บนพื้นดิน
ผู้ที่ไม่มีสำนึกเป็นร่าง อยู่สูงเสมอห่างจากสำนึกเป็นร่าง
ลูกได้กลายเป็นเทวดานางฟ้าเช่นนั้น นั่นคือราชาโยคี
ตอนนี้ลูกไม่มีความผูกพันยึดมั่นใดๆกับโลกเก่านี้
การทำงานรับใช้เป็นเรื่องที่แตกต่างกัน แต่อย่าได้มีความผูกพันยึดมั่นใดๆ
การเป็นโยคีหมายถึง“ พ่อกับฉัน” ไม่มีบุคคลที่สาม
ดังนั้นจงรักษาความตระหนักรู้ในการเป็นราชาโยคีและเทวดานางฟ้าไว้เสมอ
ด้วยความตระหนักนี้ลูกจะยังคงก้าวต่อไปอย่างสม่ำเสมอ
ราชาโยคีเป็นนายแห่งความไม่มีขีดจำกัดเสมอ ไม่ใช่นายที่มีขีดจำกัด
ลูกได้มาจากที่มีขีดจำกัด ลูกได้รับสิทธิ์ที่ไม่มีขีดจำกัด
ดังนั้นจงอยู่อย่างมีความสุขกับสิ่งนี้
เช่นเดียวกับพ่อที่ไม่มีขีดจำกัดดังนั้นเช่นกันจงมีความสุขที่ไม่มีขีดจำกัดและความซาบซึ้งที่ไม่มีขีดจำกัด
อัจชะ
ในช่วงเวลาแห่งการอำลา:
ถึงลูก ๆ ทุกคนที่ได้รับพรในอมฤตเวลา
โปรดรับความรักและการระลึกถึงที่เป็นเช่นทองจากพ่อผู้ประทานพร
นอกจากนั้นถึงผู้ที่ไต่ตรองแผนงานของการทำงานรับใช้ในการสร้างโลกยุคทองอยู่เสมอ
ผู้ที่ข้องแวะในงานรับใช้ด้วยความรักมากมายด้วยหัวใจและชีวิตของพวกเขา
ผู้ที่เป็นดวงวิญญาณที่ร่วมมือด้วยร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สมบัติของพวกเขา
บัพดาดากำลังกล่าวอรุณสวัสดิ์ อรุณสวัสดิ์ยามเช้าที่เป็นเช่นเพชรกับลูกทุกคน
จงเป็นเพชรเสมอและรับเอาความพิเศษของยุคเพชรนี้อย่างเป็นพรและมรดก
แล้วลูกจะอยู่อย่างมั่นคงในสภาพที่เป็นเช่นทองและลูกจะมอบประสบการณ์ที่คล้ายกันให้กับผู้อื่นต่อไปเช่นกัน
ดังนั้นอรุณสวัสดิ์ยามเช้าเช่นเพชรถึงลูกผู้เป็นนักแสดงเอกเป็นสองเท่าในทุกหนแห่ง
อัจชะ
พร:
ขอให้ลูกเป็นผู้ที่มีความรู้สึกเมตตา
ที่มีความคิดที่บริสุทธิ์และความคิดที่เป็นบวกต่อผู้อื่นและยกระดับผู้ที่ประณามลูก
ไม่ว่าดวงวิญญาณประเภทใดจะเข้ามามีการติดต่อกับลูก
ไม่ว่าจะเป็นซาโตกุนิหรือทาโมกุนิ
ลูกคือคนที่มีความคิดที่บริสุทธิ์และเป็นบวกเสมอสำหรับพวกเขา
นั่นคือลูกยกระดับผู้ที่ดูถูกลูก อย่าได้มีสายตาที่ไม่ชอบต่อดวงวิญญาณใดๆ
เพราะลูกรู้ว่าดวงวิญญาณนั้นตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความไม่รู้นั่นคือเขาไม่เข้าใจ
ขอให้มีความเมตตาและความรักไม่ใช่ความเกลียดชังสำหรับดวงวิญญาณนั้น
ดวงวิญญาณที่มีความคิดที่บริสุทธิ์และความคิดที่เป็นบวกต่อผู้อื่นไม่เคยคิดว่า:
ทำไมคนนี้ถึงทำเช่นนี้?
พวกเขามักจะคิดเสมอว่าพวกเขาจะทำประโยชน์ให้ดวงวิญญาณนั้นได้อย่างไร
นี่คือขั้นตอนของผู้ปรารถนาดี
คติพจน์:
ด้วยพลังของทาปาเซียทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้และกลายเป็นตัวแห่งความสำเร็จ